วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ของประเทศอิตาลี


ประวัติศาสตร์ของประเทศอิตาลี





ยุคโบราณ
           คาบสมุทรอิตาลีมีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้ว และด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีอารยธรรมโบราณกล่าวคือ อารยธรรมมิโนนและไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่นๆ ในทวีปยุโรป
      ในช่วง 1,600 ปีก่อนคริต์ศักราช พวกอีตรัสกัน (Etruscan) จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นตอสกานาในปัจจุบัน พร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วนพวกกรีกเองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า แมกนากราเซีย” (Magna Graecia) ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมืองนาโปลี จนถึงเกาะซิชิเลีย
       ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีตรัสกันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็น นครรัฐ” ขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีตรัสกันและกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลี เกาะซาร์ดิเนียและซิซิเลีย ทั้งหมดแล้ว
       ใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรวรรดิ โดยมีจักรพรรดิออกตาเวียน (Octavian) เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้งยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้าและความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนกรีกที่ได้ถดถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 – 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุกๆด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน พ.ศ. 855 (ค.ศ. 312) จักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงยอมรับคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อานัติของโรม
       ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 จักรวรรดิโรมันและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 1019 (ค.ศ. 476) จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์ นับเป็นการสิ้นสุดจักรวรรดิโรมันตะวันตก ประวัติศาสตร์โลกสมัยโบราณ และโลกตะวันตกก็เข้าสู่ยุคกลาง

  ยุคกลาง
       ในช่วงต้นของยุคกลาง ดินแดนต่างๆ ในยุโรปได้ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระส่ายที่บ้านเมืองขาดผู้นำ ระบบการเมือง เศรษฐกิจและสังคมถูกทำลาย แต่ในขณะเดียวกันบิชอบแห่งโรม ก็ได้สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดในคริสตจักรซึ่งต่อมาคือสันตะปาปา” และสามารถจัดตั้งรัฐสันตะปาปา อีกทั้งยังเป็นผผู้สืบทอดอารยธรรมโรมันที่ยังหลงเหลืองให้คงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี แม้นครรัฐต่างๆ ในคาบสมุทรอิตาลีจะขาดเอกภาพทางการเมือง แต่นครรัฐเหล่านั้นยังเป็นศูนย์กลางของความเจริญมั่งคั่งและการฟื้นตัวของศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรป 
      ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 อิตาลีได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอารยธรรมกรีกและโรมัน (ยุคเรอเนซองส์) และเป็นผู้นำของลัทธิมนุษยนิยม ในขณะที่ประเทศต่างๆในยุโรปยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบศักดินาหรือฟิวดัล แต่เมื่อเข้าปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 อิตาลีได้ตกเป็นสมรภูมิแย่งชิอำนาจงระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย กล่าวคือเมื่อปี ค.ศ. 1494 พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศสได้เปิดการโจมตีคาบสมุทร ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และการโจมตีเพื่อแย่งการเป็นเจ้าของระหว่างฝรั่งเศสและสเปน







ข้อมูลทั่วไป 

     อิตาลีได้รวมตัวกันก่อตั้งขึ้นเป็นประเทศเมื่อปี 1861 โดยกษัตริย์วิคเตอร์ เอ็มมานูเอล ได้รวมรัฐต่างๆ ที่อยู่ในคาบสมุทรนี้และเกาะซิซิลีเข้ามาสถาปนาเป็นประเทศอิตาลี   ซึ่งมีขนาดใหญ่ประเทศหนึ่งในยุโรป   ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ระบอบการเมืองในอิตาลีขาดเสถียรภาพ   จึงส่งผลให้เศรษฐกิจของอิตาลีมีปัญหา    แต่มีแนวโน้มดีขึ้นในระยะต่อมา

 ลักษณะทั่วไป  
         ปัจจุบันอิตาลีเป็นประเทศสมาชิกในกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก    กลุ่ม NATO และ EU    มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันตก  และเป็นประเทศสมาชิกหนึ่งที่เข้าร่วมใช้เงินสกุล EURO

ปัญหาที่อิตาลีมีอยู่ในปัจจุบัน  
        คือ การหลบหนีเข้าเมืองของคนต่างชาติ   อาชญากรรม  การฉ้อราษฏร์บังหลวง   การว่างงาน   ความยากจน  และความด้อยเทคโนโลยี ทางการผลิตในแถบทางใต้เมื่อเทียบกับทางเหนือของอิตาลี

 ความโดดเด่น   
       อิตาลีมีสิ่งที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ คือ  มีนครวาติกันซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิคตั้งอยู่กลางกรุงโรม  โดยถือเป็นรัฐอิสระไม่ขึ้นกับอิตาลี
นอกจากนี้อิตาลียังมีชื่อว่าเป็นช่องทาง/แหล่งนำเข้ายาเสพติดรายใหญ่ ประเภทโคเคนจากลาตินอเมริกาและนำเข้าเฮโรอีนจากเอเซียตะวันตก   เพื่อส่งผ่านไปจำหน่ายให้กับประเทศอื่นๆ ใน EU



กรุงโรม

        โรม เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5 ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอีกด้วย
       การท่องเที่ยวประเทศอิตาลี (Italy) หรือ สาธารณรัฐอิตาลี (Italian Republic) อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บริเวณยุโรปใต้

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในอิตาลี




      
 น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain)

          น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain)เป็นน้ำพุที่สวยงาม และ มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่เทรวี ริโอเนในกรุงโรมในประเทศอิตาลี เป็นน้ำพุที่มีความสูง 25.9 เมตร (85 ฟุต) และกว้าง 19.8 เมตร (65 ฟุต) และน้ำพุแบบบาโรกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม ก่อสร้างใน คศ 17




ผู้สร้าง
       ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732 และดำเนินการสร้างจนแล้วเสร็จโดยในปี 1762 รวม ใช้เวลาทั้งสิ้น 30ปี

ประวัติความเป็นมา
       เมื่อครั้งสมัยโรมโบรานซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่งเป็นเวลา 19 ปีก่อนคริสตศักราช  ได้สร้างรูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการ กลางน้ำพุ สลักด้วยหินอ่อนเป็นรูปเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) ซึ่งเทพเจ้าเนปจูนนี้จะทรงประทับมาบนรถม้ามีปีก แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูน ( เทพแห่งท้องทะเล ) ซึ่งซ่อนความหมายเอาไว้ว่าจะนำพามาซึ่งความเจริญมั่งคั่งแก่กรุงโรมแห่งนี้

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์      
       น้ำพุเทรวี่ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พบกันของถนนสามสาย  เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอด ทางระบายน้ำ เวอร์โก้ บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า 2000ปี มีความเชื่อกันว่า หากโยนเหรียญหนึ่งเหรียญลงในสระน้ำพุเทรวี่แห่งนี้ ก็จะสามารถขอพรให้สมหวังได้คนละหนึ่งข้อหนึ่งประการ นักท่องเที่ยวโดยส่วนมากก็จะโยนเหรียญเพื่ออธิษฐาน หรือเพื่อขอให้ได้มีโอกาสกลับมายังกรุงโรมแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง การโยนเหรียญ ต้องโยนด้วยมือขวา ให้เหรียญข้ามผ่านไหล่ซ้ายลงไปที่น้ำพุเทรวี่






โบสถ์ซันตา มาเรีย เดล กราซี (Santa Maria delle Grazie)


     โบสถ์ซันตา มาเรีย เดล กราซี (Santa Maria delle Grazie)หรือพระแม่มารีแห่งพระหรรษทาน) เป็นโบสถ์และคอนแวนต์ของคณะดอมินิกัน ตั้งอยู่ที่มิลานในประเทศอิตาลี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1980

ผู้สร้าง
       สถาปนิกหลักคือกุยนิฟอร์เต โซลารี (Guiniforte Solari) คอนแวนต์สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1469 และโบสถ์มาสร้างเสร็จทีหลัง

ประวัติความเป็นมา
       ยุคแห่งมิลาน ฟราเชสโคที่ 1 สฟอร์ซาเป็นผู้สั่งให้สร้างคอนแวนต์ของคณะดอมินิกัน และโบสถ์ในวังที่ เป็นที่ตั้งของชาเปลที่อุทิศให้แก่พระแม่มารีแห่งพระหรรษทาน (St. Mary of the Graces)ยุคคนใหม่ลุโดวิโค สฟอร์ซาตัดสินใช้โบสถ์นี้ เป็นสถานที่บรรจุศพของตระกูลสฟอร์ซา และสร้างอารามใหม่และมุขตะวันออกที่มาเสร็จในปี ค.ศ. 1490 ส่วนศพ เบียทริซ เดสเตภรรยาของลุโดวิโคได้รับการบรรจุในโบสถ์ ในปี ค.ศ. 1497

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์      
       โบสถ์ซันตามาเรียเดล กราซี มีชื่อเสียงเพราะเป็นที่ตั้งของจิตรกรรมฝาผนัง พระกระยาหารมื้อสุดท้ายที่เขียนโดยเลโอนาร์โด ดา วินชีภายในหอฉันของคอนแวนต์ ยุคแห่งมิลาน 






สะพานปอนเต้ เวคคิโอ             (Ponte Vecchio)

       สะพานปอนเต้เวคคิโอ (Ponte Vecchio) สร้างขึ้นในสมัยโรมันเป็นสะพานเก่าแก่และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปมากที่สุดในฟลอเรนซ์ สะพานมีลักษณะโค้ง 3 ช่อง แบ่งเป็นช่องทางเดินสองฝั่ง โดยสองข้างทางมีร้านค้า ร้านขายของที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมถึงร้านขายของแบกะดิน ซึ่งปัจจุบันบริเวณนี้กลายเป็นย่านการค้าสุดฮิปของเมือง


ผู้สร้าง

      ผู้ออกแบบสะพานคือ วาซารี (Vasari) ผู้เป็นทั้งสถาปนิกและจิตรกร

ประวัติความเป็นมา
       สะพานปอนเต้ เวคคิโอ สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 972 แต่เกิดน้ำท่วมใหญ่ 2 ครั้ง (ปีค.ศ. 1177 กับปีค.ศ. 1333) กระแสน้ำพัดทำให้สะพานพังทลายไป ต่อมาจึงได้มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำอาร์โนขึ้นมาใหม่ในปีค.ศ. 1345 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน


ความสำคัญทางประวัติศาสตร์      
       สะพานข้ามแม่น้ำอาร์โนแห่งนี้เป็นสะพานไม้อายุหลายร้อยศตวรรษแห่งแรก เป็นสะพานโบราณสะพานเดียวที่เหลืออยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ ออกแบบทางเดินบนสะพานให้มีหลังคาคลุม ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สะพานปอนเต้ เวคคิโอ รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดของพวกนาซีและฝ่ายสัมพันธมิตรมาได้อย่างน่าอัศจรรย์








วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก

10 อันดับภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก

อันดับที่10.  Femme aux Bras Croises  (Woman with Folded Arms) ภาพเขียนฝีมือของ Pablo Picasso
วาดขึ้นในปี 1902 ในยุค Blue Period ของเขา ซึ่งเป็นยุคที่มืดมนและโศกเศร้า ในภาพเป็นรูปผู้หญิงนั่งกอดอกอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย ความแตกต่างของน้ำหนักสีฟ้าที่สวยงามคือเทคนิคการใช้สีที่Picasso นิยมใช้ในยุคนี้ภาพ Femme aux Bras Croises ถูกประมูลขายไปในราคา $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลของสถาบัน Christie ที่ Rockefellerในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2000
อันดับที่9.  Rideau, Cruchon et Compotier  ภาพเขียนของ Paul Cezanne เขียนขึ้นในช่วงปี 1893-1894
Cezanne เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในการเขียนภาพหุ่นนิ่ง ซึ่งแสดงอารมณ์อันล้ำผ่านความสงบนิ่งในความเหมือนจริงภาพนี้ถูก ประมูลขายไปด้วยราคาสูงถึง $ 60.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Sothebyเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1999 ผู้ที่ประมูลไปคือ ตระกูล Whitneys หนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนั้นภาพนี้ได้ถูกนำมาประมูลใหม่อีกครั้งหนึ่ง
อันดับที่8.  Portrait de l'artiste sans barbe  ("Self-portrait without beard") หรือ ภาพเหมือนที่ไม่มีเคราหนึ่งในภาพเหมือนตัวเองหลายๆ ภาพของ Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงปี1889 ซึ่งเขาพำนักอยู่ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ภาพเขียนสีน้ำมันภาพบนเฟรมผ้าใบภาพนี้มีขนาด 40x31 ซ.ม. (16" x 13")Van Gogh เขียนภาพนี้หลังจากที่เขาพึ่งโกนหนวดเสร็จ แตกต่างจากภาพเหมือนรูปอื่นๆ ของเขาที่ไว้เครา และมันได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกตลอดกาลเมื่อถูกประมูลขายไปใน ราคาสูงถึง $ 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ที่กรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน1998





อันดับที่7.  Les Noces de Pierrette  ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกอีกภาพหนึ่งของ Pablo Picasso จิตรกรและประติมากรเอกชาวสเปน วาดขึ้นในยุค Blue Period ของเขา เป็นช่วงที่เขาทุกข์ทรมานจากความยากจนและความโศกเศร้า เนื่องจาก Carlos Casagemas เพื่อนรักของเขาฆ่าตัวตายเมื่อปี 1901 ภาพนี้ถูกขายให้กับเศรษฐีชาวเอเซียด้วยราคาสูงถึง $ 51.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน1989 ในการประมูลที่สถาบัน Binoche et Godeau ที่ปารีส
อันดับที่6.  ภาพเขียนฝีมือของ Peter Paul Rubens จิตรกรเอกชาวเฟลมมิช ซึ่งวาดภาพนี้ขึ้นในปี 1611 เป็นภาพเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาภาพเขียนทั้ง 10 รูป ผู้ที่ซื้อไปคือนาย Kenneth Thomson (บารอนทอมสันที่ 2 แห่ง Fleet) ด้วยราคาสูงถึง 49.5 ล้านปอนด์ ($ 76.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในการประมูลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2002 ที่สถาบัน Sotheby
อันดับที่5.  Dora Maar au Chat  (Dora Maar with Cat) ภาพเขียนปี 1941 โดย Pablo Picasso จิตรกรเอก
ชาวสเปน ผู้หญิงในภาพคือ Dora Maar ภรรยาของเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมีแมวตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของเธอ ภาพนี้เขียนขึ้นในยุค Cubism ที่มีชื่อเสียงของเขา และถูกนำออกประมูลขายในการประมูลภาพเขียนของจิตรกรยุค Impressionism ที่สถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 23มีนาคม 2006 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 95.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าราคาที่ประเมินไว้คือ $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผู้ไม่ประสงค์ออกนามเป็นผู้ที่ประมูลไป
อันดับที่4. Garcon a la Pipe (Boy with a Pipe) ภาพเขียนของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1905 อยู่ในช่วง 24 ปีของยุค Rose Period ที่มีชื่อเสียงของเขา เป็นยุคที่เขานิยมใช้สีส้มและชมพูในการเขียนภาพ สีน้ำมันบนผืนผ้าใบแสดงเด็กชายชาวปารีสคนหนึ่งกำลังถือไปป์ในมือซ้ายใน วันที่ 5 พฤษภาคม 2004 ภาพนี้ถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 104.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค หลังจากที่ทางสถาบันได้ตีราคาประเมินไว้ที่ $ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาขายที่ออกมาได้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากภาพนี้ไม่ได้วาดขึ้นในยุคCubism ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Picasso นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนกล่าวว่ามูลค่าที่สูงลิ่วของภาพนี้มีมาจากชื่อเสียง ของตัวศิลปินเอง มากกว่าคุณค่าความงามหรือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในตัวภาพเอง
 
อันดับที่3. Bal au moulin de la Galette ภาพเขียนที่วาดขึ้นในปี 1876 โดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส Pierre-Auguste Renoir ภาพนี้มีด้วยกัน 2 รูป และเป็นชื่อเดียวกันด้วย ภาพใหญ่กว่าจัดแสดงอยู่ที่
พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส ส่วนภาพเล็กถูกประมูลขายไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1990ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สถาบัน ในกรุงนิวยอร์ค ให้กับนาย Ryoei Saito ซึ่งซื้อไปพร้อมกับภาพเหมือนของ Dr. Gachet ซึ่งภาพ Bal au moulin de la Galette ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับภาพเขียนของ Vincent van Gogh เช่นกัน
  





อันดับที่2Portrait  of  Dr. Gachet  by  Vincent  Van  Gogh ผู้ที่ซื้อภาพนี้ไปคือนาย Ryoei Saito มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1990ด้วยวงเงินสูงถึง $ 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ภาพเหมือนของ Dr.Gachet ถูกวาดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 1890 โดย Vincent van Gogh จิตรกรยุคอิมเพรสชั่นนิสม์(Impressionism) ชาวดัทช์นาย Ryoei Saito ได้ประกาศสิ่งที่ช็อควงการศิลปะโลกเมื่อเขากล่าวว่าเขาปรารถนาที่จะเผารูป เขียนของ Vincent van Gogh ให้ตายไปพร้อมกันกับเขา แต่ต่อมาเขาได้อธิบายว่าเป็นแค่การพูดเปรียบเปรยเท่านั้น เพื่อบอกว่าเขามีความชื่นชมภาพเขียนชั้นยอดรูปนี้เพียงใด ซึ่งนาย Ryoei Saito ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1996 Vincent van Gogh ได้เขียนรูปเหมือนของ ไว้ 2 รูปด้วยกัน โดยใช้สีสันต่างกันเล็กน้อย ซึ่งอีกภาพนั้นจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส
อันดับที่1. ภาพ Mona Lisa (La Gioconda) ที่วาดโดยจิตรกรเรืองนาม Leonardo da Vinci (1452-1519) ซึ่งวาดขึ้นในช่วงปี 15031507 ปัจจุบันเป็นสมบัติของรัฐบาลฝรั่งเศส จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Musedu Louvre ในกรุงปารีส เป็นภาพที่ไม่มีวันนำออกมาประมูลขายได้ แต่มันเป็นภาพเขียนมีการประกันภัยที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันที่ 14 ธันวาคม 1962 ภาพนี้ได้รับการประกันภัยสูงถึง $ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนที่จะนำออกไปแสดงยังสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาหลายเดือน และในปี 2006 ภาพนี้จะมีมูลค่าเพิ่มสูงถึงราวๆ $ 670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว 10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก